
จอห์น เทอร์รี่ อดีตกัปตันกองหลัง ผู้เป็นตำนานของ สโมสรเชลซี เขาเป็นนักเตะคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในวงการลูกหนังของ เกาะอังกฤษ และ เป็นหนึ่งในนักเตะที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในประวัติศาสตร์ของ ทัพสิงห์บลู แม้ในขณะนี้ เขาจะอำลงวงการนักเตะอังกฤษ ด้วยการแขวนสตั๊ดไปแล้ว ในปี 2018 แต่เขาก็ยังวนเวียนอยู่ในวงการลูกหนังที่เขารัก ด้วยการรับหน้าที่เป็นที่ปรึกษาโค้ช ให้กับทีมเยาวชนของสโมสรที่เขาเคยค้าแข้งอย่าง เชลซี
จอห์น เทอร์รี่ หรือ จอห์น จอร์จ เทอร์รี่ (John George Terry) หรือแฟนบอลบางคน อาจจะเรียกโดยใช้ตัวย่อชื่อของเขาว่า เจที (JT) เกิดเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม ในปี 1980 ที่เมืองบาร์คกิ้ง กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เขามีความชื่นชอบในเกมกีฬาฟุตบอลมาตั้งแต่วัยเด็ก ถึงแม้เขาจะเกิดในเมืองหลวงอย่างกรุงลอนดอน และค้าแข้งให้กับ เชลซี ในตอนวัยหนุ่ม แต่ในวัยเด็ก เขาเป็นแฟนบอลตัวยงของ สโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งเขามักนำการเล่นของนักเตะคนดังใน ทัพปีศาจแดง มาปรับใช้ในการเล่นของเขาเสมอ และในวัยเด็ก เขาไม่ได้ลงเล่นในตำแหน่ง กองหลัง หากแต่ว่าเขาลงเล่นในตำแหน่ง กองกลาง มาก่อน และยังบุคลิกฉายแววการเป็นผู้นำมาตั้งแต่เด็กอีกด้วย

เส้นทางนักเตะในทีมเยาวชนของ จอห์น เทอร์รี่
เท็ด และ ซู พ่อและแม่ของ เทอร์รี่ ได้ส่งเขาเข้าเรียนยังโรงเรียน Eastbury Community School ซึ่งเป็นโรงเรียนในเมือง บาร์คกิ้ง เมืองที่เขาอาศัยอยู่ โดย เทอร์รี่ เริ่มต้นในเส้นทางลูกหนังด้วยการลงเล่นให้กับ สโมสรฟุตบอลเซนรับ (Senrab) ซึ่งเป็นสโมสรฟุตบอลในลีกวันอาทิตย์ (Sunday League) ซึ่งในทีมขณะนั้นมีผู้เล่นที่กลายมาเป็นนักเตะชั้นนำในอนาคตของ พรีเมียร์ลีก หลายคน อาทิ บ๊อบบี้ ซาโมร่า , เลดลีย์ คิง , โซล แคมป์เบลล์ เป็นต้น
หลังจากนั้นในปี 1991 ในขณะที่เขาอายุได้ 11 ขวบ เขาก็ได้เข้าไปเป็นนักเตะในทีมเยาวชนของ สโมสรเวสต์แฮม ยูไนเต็ด ในตำแหน่งกองกลาง และเขาได้โชว์ศักยภาพของเขาออกมาได้อย่างโดดเด่นเกินอายุ จนเป็นที่เลื่องลือถึงฝีเท้าที่เก่งกาจเกินอายุของเขา และ เทอร์รี่ ได้เป็นนักเตะในทีมเยาวชนของ ทัพขุนค้อน ร่วม 4 ปี
จนกระทั่งในปี 1995 มีแมวมองจาก สโมสรเชลซี ได้มาทาบทามเขา และเขาได้ตัดสินใจไปเข้าร่วมกับ ทีมเยาวชนของ ทัพสิงห์บลู แต่แล้วในขณะนั้น ทีมขาดนักเตะในตำแหน่งกองหลัง เขาจึงได้เข้ามาเล่นในตำแหน่งนี้ ซึ่งก็เป็นจุดเริ่มต้นในการเล่นตำแหน่งกองหลังของ เทอร์รี่ อีกด้วย

เส้นทางนักเตะในสโมสรอาชีพของ จอห์น เทอร์รี่
จอห์น เทอร์รี่ ได้เซ็นสัญญาเป็นนักเตะในสโมสรอาชีพกับ เชลซี ในวันที่ 28 ตุลาคม ปี 1998 ในขณะที่เขาอายุได้ 17 ปี และได้ลงสนามครั้งแรกกับ ทัพสิงห์บลู ในศึก ลีก คัพ นัดที่ เชลซี เอาชนะ แอสตัน วิลล่า และทำประตูให้กับ เชลซี เป็นครั้งแรกในศึก เอฟเอ คัพ นัดที่เอาชนะ สโมสรโอลด์แฮม แอธเลติก จนใน 2 ปีถัดไป ปี 2000 เขาได้ถูก สโมสรนอตติงแฮม ฟอเรสต์ ยืมตัวไปเล่นด้วยสัญญายืมตัวในระยะเวลาสั้นๆ เทอร์รี่ กับการลงเล่นให้กับ ทัพเจ้าป่า เขาได้พัฒนาทักษะ และฝีเท้าเพิ่มขึ้นอย่างมาก และเมื่อเขากลับมายัง สโมสรเชลซี เขายังได้เรียนรู้เทคนิค และทักษะกับ มาร์คเซล เดอไซญี กองหลังระดับตำนานที่มีความสามารถสูง จน เทอร์รี่ พัฒนาความสามารถของเขาได้ไกลออกไปอีก
จนกระทั่งในเดือนธันวาคม ปี 2001 เขาได้รับเลือกให้ได้รับหน้าที่ กัปตันทีมเชลซี เป็นครั้งในศึก พรีเมียร์ลีก ในนัดที่พบกับ ชาร์ลตัน แอธเลติก และเขาทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมมากมาย จนกระทั่งในปี 2003 เขาพาทีมผ่านเข้าไปเล่นในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ได้สำเร็จ จนทำให้เขาได้มีชื่อติด ทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่ เป็นครั้งแรก และหลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ได้รับความไว้วางใจให้สวมปลอกแขนเป็น กัปตันทีมชาติอังกฤษ อีกด้วย

จนมาในปี 2004 การเข้ามาคุมทีมของ โชเซ่ มูรินโญ่ ผู้จัดการทีมคนใหม่ในขณะนั้น เทอร์รี่ ได้กลับมารับตำแหน่ง กัปตันทีมเชลซี อย่างเต็มตัวในฤดูกาลนี้ (2004-05) และในฤดูกาลนี้นี่เอง เป็นช่วงจุดพีคของทั้ง สโมสร และตัว จอห์น เทอร์รี่ เนื่องจากในช่วงกลางฤดูกาล เขาสามารถพาทีมคว้าแชมป์ในรายการ ลีก คัพ (คาร์ลิ่ง คัพ ในสมัยนั้น) มาได้ โดย เทอร์รี่ สมารถทำประตูไปได้ถึง 8 ประตูด้วยกัน และในช่วงท้ายฤดูกาลเขาสามารถพาทีมคว้า แชมป์พรีเมียร์ลีก มาได้ด้วยคะแนน 95 คะแนน และเป็นการคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ได้เป็นสมัยแรก นับตั้งแต่สโมสรเปลี่ยนชื่อมาจาก ฟุตบอลดิวิชั่นหนึ่ง และได้รับการโหวตให้เป็น นักเตะยอดเยี่ยมแห่งปี จาก PFA ซึ่ง เทอร์รี่ คือนักเตะ เชลซี คนแรกที่ได้รับรางวัลนี้อีกด้วย

ซึ่งต่อมาในฤดูกาล 2005-06 เทอร์รี่ ก็สามารถพาทีมคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ได้อีกสมัยติดต่อกัน และในฤดูกาลนี้ เขายังได้รับเลือกให้เป็น กัปตันทีมชาติอังกฤษ ซึ่งเขาคือ นักเตะเชลซีคนแรก ที่ได้รับตำแหน่งนี้ด้วย ซึ่งในฤดูกาลนี้ เขายังได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำสโมสรเชลซี อีกสมัยอีกด้วย ต่อด้วยฤดูกาล 2006-07 เขาพาทีมคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ เป็นครั้งแรก ด้วยการเอาชนะ สโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ด้วยสกอร์ 1-0
ต่อมาในฤดูกาล 2007-08 เป็นปีที่เขาถูกอาการบาดเจ็บรบกวนอย่างหนัก จนทำให้ได้ลงสนามน้อยมาก และทำให้นัดสำคัญอย่าง ศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ที่ต้องปะทะกับ ทัพปีศาจแดง พวกเขาพ่ายแพ้ให้กับสโมสรจากถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด จากการยิงลูกโทษ ซึ่งคนสุดท้ายที่ยิงให้กับ เชลซี คือ เทอร์รี่ และเขาก็ยิงพลาด ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเจ็บปวดของ กัปตันทีม เช่น เทอร์รี่ อย่างมาก จนในฤดูกาล 2008-09 แม้จะพลาดใน โทรฟี่รายการ พรีเมียร์ลีก แต่เขาก็พาทีมคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ มาได้อีกครั้ง
ต่อมาในฤดูกาล 2009-10 เขาสามารถพาทีมคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ได้อีกครั้งหนึ่ง (สมัยที่ 3 ของเชลซี) และยังคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ มาได้อีกหนึ่งรายการ ซึ่งทำให้ในฤดูกาลนี้ เขาสามารถพาทีมคว้า ดับเบิ้ลแชมป์ มาครองได้ ซึ่งเป็นการคว้า ดับเบิ้ลแชมป์ ครั้งแรกของสโมสรเชลซี และ เทอร์รี่ อีกด้วย และในช่วงฤดูกาลนี้ เทอร์รี่ พบเจอกับช่วงเวลาที่ยากลำบาก เนื่องจากเขามีข่าวอื้อฉาวกับ ภรรยาของอดีตเพื่อนรักร่วมทีม เวย์น บริดจ์ จนโดนปลดออกจากการเป็น กัปตันทีมชาติอังกฤษ ที่จะต้องไปทำการแข่งขันฟุตบอลโลก 2010

แต่แล้ว ฟาบิโอ คาเปลโล กุนซือทีมชาติอังกฤษสมัยนั้น ก็กลับคืนตำแหน่ง กัปตันทีมชาติอังกฤษ ให้กับเขาอีกครั้งในช่วงต้นปี 2011 และถัดมาในปี 2012 เทอร์รี่ตกเป็นข่าวอื้อฉาวอีกครั้งในการแสดงพฤติกรรมในการเหยียดผิว แอนทอน เฟอร์ดินานด์ กองหลังของ สโมสรควีนส์ปาร์ค เรนเจอร์ส จนทำให้เขาโดนริบปลอกแขนกัปตันทีมชาติอีกครั้ง ในการไปทำศึก ฟุตบอลยูโร 2012 ซึ่งในภายหลัง ทั้ง เทอร์รี่ และ คาเปลโล ก็ได้ลาออกจากการรับใช้ ทีมชาติอังกฤษ ทั้งคู่
โดยในฤดูกาล 2011-12 เทอร์รี่ ได้พาทีมเชลซี คว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ ได้อีกเป็นสมัยที่ 4 ต่อด้วยการคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ที่เอาชนะ สโมสรบาเยิร์น มิวนิค มาได้อีกรายการด้วย ซึ่งเป็นการครองแชมป์ในรายการ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เป็นครั้งแรกของ สโมสรเชลซี อีกด้วย แต่แล้วในฤดูกาล 2012-13 เชลซี ไม่สามารถคว้าตั๋วไปแข่งขันในรายการ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ได้สำเร็จ ทำให้ ในฤดูกาล 2013-14 เชลซี ต้องแข่งขันในรายการ ยูฟ่า ยูโรปาลีก และก็สามารถคว้าแชมป์ในรายการนี้มาครองได้สำเร็จ

โดยในฤดูกาล 2014-15 เขาสามารถสร้างสถิติเป็น นักเตะที่ลงเล่นทุกวินาทีจนจบเกมตลอดฤดูกาล และเป็นผู้เล่นในตำแหน่งกองหลัง ที่สามารถทำประตูได้สูงที่สุดใน พรีเมียร์ลีก โดยเขาทำประตูไปได้ถึง 39 ประตู และพาทีมคว้า แชมป์พรีเมียร์ลีก มาได้อีกหนึ่งฤดูกาล และพาทีมได้รับรางวัล ทีมยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลของ PFA เป็นครั้งที่ 4 อีกด้วย
จนมาถึงในฤดูกาล 2016-17 ฤดูกาลสุดท้ายของเขาที่ เชลซี เขาสร้างสถิติเป็นนักเตะคนที่ 3 ของ เชลซี ที่สามารถลงเล่นให้กับทีมถึง 700 นัด และเขาสามารถพาทีมคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก มาได้เป็นสมัยที่ 4 ซึ่งเป็นแชมป์สุดท้ายที่เขาสามารถคว้ามาประดับตู้โชว์ให้กับถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ โดย จอห์น เทอร์รี่ ลงเล่นให้กับ สโมสรเชลซี อย่างยาวนานกว่า 19 ปี โดยเขาลงเล่นไปทั้งหมดทุกรายการ 717 เกม และลงเล่นในฐานะกัปตันทีมมากกว่า 500 เกม และเป็นกองหลังที่ทำประตูให้กับทีมได้มากที่สุดตลอดกาลถึง 41 ประตู

during the Premier League match between Chelsea and Sunderland at Stamford Bridge, London, England on 21 May 2017.
(Photo by Kieran Galvin/NurPhoto via Getty Images)
เส้นทางนักเตะของ จอห์น เทอร์รี่ หลังจากอำลา เชลซี
หลังจากที่เขาอำลา ถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ เขาก็ได้ไปเริ่มต้นฤดูกาล 2017-18 ยังสโมสรใหม่ นั่นก็คือ สโมสรแอสตัน วิลล่า และเขาค้าแข้งเป็นกัปตันทีมให้กับ ทัพสิงห์ผยอง ได้เพียงหนึ่งฤดูกาล ก่อนที่เขาจะประกาศ ยุติบทบาทในอาชีพนักฟุตบอลอาชีพกว่า 23 ปีลงไป ด้วยวัย 37 ปี ซึ่งเขาลงแข่งขันในทุกรายการไปกว่า 800 นัด

และหลังจากนั้นขยับขยายขึ้นไปรับหน้าที่ ผู้ช่วยโค้ช ให้กับ ทัพสิงห์ผยอง ทำงานร่วมกันกับ ผู้จัดการทีมอย่าง ดีน สมิธ นานถึง 3 ปี และเป็นส่วนหนึ่งในการพา ทัพสิงห์ผยอง ให้ได้เลื่อนชั้นกลับมายัง พรีเมียร์ลีก ได้อีกครั้งหนึ่งด้วย
ซึ่งต่อมาช่วงเดือนธันวาคม ปี 2021 เขามีข่าวว่าจะกลับคืนถิ่น สแตมฟอร์ด บริดจ์ และก็เป็นไปตามนั้น เมื่อในเดือนมกราคม ปี 2022 เขาได้เข้าไปรับหน้าที่เป็น ที่ปรึกษาให้กับทีมสตาฟโค้ช ของทีมเยาวชนเชลซี ที่ ค็อบแฮม ถิ่นที่หล่อหลอมให้เขาเติบโตมาจากวัยเด็ก สู่แข้งระดับตำนาน

เกียรติประวัติ และรางวัล ของ จอห์น เทอร์รี่
สโมสรเชลซี
• ชนะเลิศ ในรายการ พรีเมียร์ลีก 5 สมัย ได้แก่ฤดูกาลที่ 2004–05 , 2005–06 , 2009–10 , 2014–15 , 2016–17
• ชนะเลิศ ในรายการ ยูฟ่า แชมป์เปี้ยนส์ลีก 1 สมัย ในฤดูกาล 2011–12
• รองชนะเลิศ ในรายการ ยูฟ่า แชมป์เปี้ยนส์ลีก 1 สมัย ในฤดูกาล 2007–08
• ชนะเลิศ ในรายการ เอฟเอ คัพ 5 สมัย ได้แก่ฤดูกาลที่ 1999–00 , 2006–07 , 2008–09 , 2009–10 , 2011–12
• ชนะเลิศ ในรายการ ยูฟ่า ยูโรปาลีก 1 สมัย ในฤดูกาล 2012–13
• ชนะเลิศ ในรายการ ลีก คัพ 3 สมัย ได้แก่ในฤดกาล 2004–05 , 2006–07 , 2014–15
• ชนะเลิศ ในรายการ เอฟเอ คอมมิวนิตี้ชิลด์ 2 สมัย ได้แก่ปี 2005 , 2009
• ทีมยอดเยี่ยมแห่งปี จาก PFA 4 สมัย
• ทีมยอดเยี่ยมแห่งปี จาก UEFA ในฤดูกาล 2004-05

รางวัลส่วนตัว
• รางวัลนักเตะทรงคุณค่าแห่งปี 3 สมัย ในปี 2005 , 2008 , 2009
• รางวัลทีมยอดเยี่ยมจาก FIFA World XI 5 สมัย ในปี 2005 , 2006 , 2007 , 2008 , 2009
• รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีจาก PFA ในฤดูกาล 2004-05
• รางวัลแมน ออฟ เดอะ แมตช์ ในฤดูกาล 2014-15
• ผลโหวตอันดับที่ 3 ในรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปี จาก สมาคมนักข่าวฟุตบอล ในฤดูกาล 2014-15
