
บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ (Bastian Schweinsteiger) หรือชื่อสั้นๆที่แฟนบอลเรียกเขาว่า ชไวนี เกิดเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม ในปี 1984 เขาเกิดและเติบโตที่ เมืองโคลเบอร์มัวร์ ประเทศเยอรมันตะวันตก อดีตนักเตะชาวเยอรมัน ตำนานมิดฟิลด์ฟอร์มเทพของ สโมสรบาเยิร์น มิวนิค และเป็นอดีตแม่ทัพแห่ง กองทัพอินทรีเหล็ก ทั้งพรสวรรค์และความเก่งกาจในการอ่านเกม และคุมเกม และเล่นในทุกตำแหน่งในกองกลางได้อย่างยอดเยี่ยมของเขา อีกทั้งเขายังยิงประตูได้อย่างแม่นยำ ทำให้แฟนลูกหนังในประเทศเยอรมันขนานนามเขาว่า “พระเจ้าแห่งฟุตบอล (Fußballgott)” และได้รับการยกย่องจากแฟนบอลทั่วโลกว่า เป็นหนึ่งในมิดฟิลด์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล ถึงแม้ว่าช่วงบั้นปลายของการค้าแข้งของเขา จะเป็นไปอย่างไม่ราบรื่นสักเท่าไหร่นักก็ตาม ซึ่งในปัจจุบัน ชไวน์สไตเกอร์ ได้อำลาวงการฟุตบอลไปแล้วเมื่อปี 2019 ด้วยวัย 35 ปี

เขาเริ่มเข้าสู่วงการลูกหนังด้วยการเข้าเป็นนักเตะฝึกหัด กับสโมสรในท้องถิ่นในเยอรมัน ที่ชื่อว่า เอสเฟา อูเบอร์เราดอฟ (FV Oberaudorf) ในปี 1990 ในขณะที่เขาอายุ 6 ขวบ เขาฝึกทักษะอยู่ที่นั่นได้เพียง 2 ปี จนในปี 1992 ในขณะที่เขาอายุได้ 8 ขวบ จึงได้ย้ายไปยังอคาเดมีของ สโมสรทีเอสเฟา 1860 รูเซนไฮม์ (TSV 1860 Rosenheim) และเป็นนักเตะในอคาเดมีแห่งนี้นานถึง 6 ปี
จนกระทั่งเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ปี 1998 เขาได้เข้าเซ็นสัญญาเป็นนักเตะในทีมเยาวชนใน อคาเดมีของสโมสรบาเยิร์น มิวนิค ซึ่งเป็นสโมสรชื่อดังและประสบความสำเร็จมากที่สุดในประเทศเยอรมัน ด้วยวัย 14 ปี ซึ่งเขาประสบความสำเร็จกับทีมเยาวชนของ ทัพเสือใต้ อย่างมาก โดยเขาเป็นส่วนสำคัญของทีม จนสามารถพาทีมคว้ารางวัลชนะเลิศในรายการ ชิงแชมป์เยาวชนเยอรมัน ในปี 2002 มาครองได้อย่างสำเร็จ

Bastian SCHWEINSTEIGER
FC Bayern Muenchen (Photo by Pressefoto Ulmerullstein bild via Getty Images)
บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ “ พระเจ้าแห่งฟุตบอล “ ของทัพเสือใต้
จากการพาทีมเยาวชนประสบความสำเร็จ เขาก็ได้เข้าร่วมฝึกซ้อมกับทีมชุดใหญ่ของ บาเยิร์น มิวนิค ในทันที ซึ่งเขาฝึกซ้อมกับทีมชุดใหญ่ไปได้เพียงแค่ 2 ครั้งเท่านั้น เขาก็ได้รับการผลักดันจาก อ็อตมาร์ ฮิตซ์เฟลด์ กุนซือของทีมชุดใหญ่ของ ทัพเสือใต้ ให้ลงเล่นกับทีมชุดใหญ่เป็นครั้งแรก ในตำแหน่งปีกขวา เมื่อเดือน พฤศจิกายน ปี 2002 ด้วยวัย 18 ปี โดยลงเล่นเป็นตัวสำรองในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก กับ สโมสรแอซี ลองส์ (RC Lens) จากลีกในฝรั่งเศส โดยเขามีส่วนสำคัญที่ทำให้การแข่งขันในนี้ชนะ โดยเขาเป็นผู้จ่ายบอลให้กับ มาร์คุส ฟรอยเนอร์ ขึ้นทำประตู พาทีมชนะด้วยสกอร์ 3-1
จากการฉายแววเก่งของเขา ทำให้เขาได้รับการเซ็นสัญญานักเตะอาชีพ ในเดือนธันวาคม 2002 ในทันที และลงเล่นให้กับทีมชุดใหญ่หลังจากเซ็นสัญญา เขาได้ลงเล่นในศึก บุนเดสลีกา ฤดูกาล 2002-03 ไปทั้งหมด 14 นัด และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ ทัพเสือใต้ คว้า แชมป์บุนเดสลีกา ในฤดูกาลนั้นมาครองได้อย่างสำเร็จ นอกจากนี้ยังคว้าแชมป์ในรายการ เดเอฟเบ-โพคาล ในปี 2003 มาครองได้เป็นดับเบิ้ลแชมป์อีกด้วย เรียกได้ว่าเขาเปิดตัวในทีมชุดใหญ่ได้อย่างสวยงามเลยทีเดียว

จนกระทั่งในฤดูกาลถัดมา 2003-04 ในเดือนกันยายน 2003 เขาสามารถทำประตูให้กับทีมได้เป็นครั้งแรกในศึก บุนเดสลีกา ในนัดที่พบกับ สโมสรเฟาเอฟเอส โวล์ฟสบวร์ก (VfL Wolfsburg) และลงเล่นในลีกสูงสุดไปทั้งหมด 26 นัด จนกระทั่ง กุนซือทีมคนใหม่อย่าง เฟลิกซ์ มากัธ เข้ามาคุมทีม เขาได้ส่ง ชไวน์สไตเกอร์ ไปเล่นในทีมสำรองของ ทัพเสือใต้ สลับกับการเล่นในทีมชุดใหญ่ ซึ่งในฤดูกาลถัดไป 2004-05 ทัพเสือใต้ ก็คว้าดับเบิ้ลแชมป์จากศึก บุนเดสลีกา และศึก เดเอฟเบ-โพคาล มาครองได้อีกสมัย

จนกระทั่งในฤดูกาล 2005-06 เขาได้กลับเข้ามาเล่นยังทีมชุดใหญ่อีกครั้ง ซึ่งในฤดูกาลนี้ เขาลงเล่นไปทั้งหมด 42 นัด และทำประตูให้กับทีมไปได้ 3 ประตู และพาทีมคว้าดับเบิ้ลแชมป์มาครองได้เป็นสมัยที่ 3 จากศึก บุนเดสลีกา และศึก เดเอฟเบ-โพคาล เช่นเดิม
ในฤดูกาล 2007-08 ชไวนี ได้ลงเล่นให้กับ ทัพเสือใต้ ไปแล้ว 135 นัด และลงเล่นครบทุกรายการทั้ง บุนเดสลีกา , ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก และรายการชิงแชมป์ต่างๆของเยอรมัน ซึ่งในฤดูกาลนั้นเขาทำประตูไปได้ 10 ประตู และเป็นแข้งตัวหลักพาทีมคว้าดับเบิ้ลแชมป์มาได้เป็นสมัยที่ 4 จากศึก บุนเดสลีกา และศึก เดเอฟเบ-โพคาล เช่นเดิม จนในเดือนธันวาคม 2010 เขาได้ทำการต่อสัญญากับต้นสังกัดออกไปอีก จนถึงปี 2016 ท่ามกลางการลุ้นของแฟนบอลว่าเขาจะย้ายทีมไปตามข่าวลือที่เล็ดลอดออกมาอย่างหนาหูหรือไม่

Der FC Bayern Muenchen feiert auf dem Muenchner Marienplatz die
Deutsche Meisterschaft 09/10: Bastian Schweinsteiger mit Meisterschale (Photo by Pressefoto Ulmerullstein bild via Getty Images)
และในฤดูกาล 2009-10 ผู้จัดการทีมคนใหม่อย่าง หลุยส์ ฟาน กัล ได้เข้ามาคุมทีม และเขาคือผู้มองเห็นว่า สไตล์การเล่นของ ชไวนี นั้นเหมาะที่จะเล่นในตำแหน่ง กองกลาง มากกว่า ปีกขวา ที่เขาเล่นอยู่ ซึ่ง ชไวนี เองก็ชื่นชอบ และเล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ได้เป็นอย่างดี และทำให้เขาประสบความสำเร็จกับทีมมากขึ้นไปอีก

Fototermin beim FC Bayern Muenchen
Bastian Schweinsteiger mit Trainer Louis van Gaal ( FCB ) (Photo by Pressefoto Ulmerullstein bild via Getty Images)
จนกระทั่งฤดูกาลที่เป็นจุดสูงสุดในอาชีพค้าแข้งของเขาก็มาถึง นั่นก็คือ ฤดูกาล 2012-13 ชไวนี สามารถช่วยให้ต้นสังกัดคว้าแชมป์มาได้ถึง 3 รายการด้วยกัน นั่นคือ แชมป์ลีกสูงสุดของเยอรมัน บุนเดสลีกา , แชมป์ เดเอฟเบ-โพคาล และแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ซึ่งเป็นการครองแชมป์ในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ได้เป็นครั้งแรกของ ชไวนี อีกด้วย หลังจากเข้าชิงมาหลายครั้ง แต่ก็พ่ายแพ้มาโดยตลอด และที่สำคัญเป็นการเอาชนะ สโมสรโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ คู่แค้นร่วมลีกมาได้อีกด้วย ซึ่งในฤดูกาลนี้ เขาลงเล่นไปทั้งหมด 44 นัด และทำประตูไปได้ 9 ประตูด้วยกัน ทำให้ ชไวนี ยิ่งเป็นที่รักของแฟนบอลเสือใต้มากยิ่งขึ้นไปด้วย

การมาของ แป๊บ กวาร์ดิโอล่า ผู้จัดการทีมคนใหม่ของ เสือใต้ ในปี 2014 เขามองว่า การเล่นแบบ ชไวนี ช้าเกินไป เขามักจะอ่านเกมก่อนจ่ายบอลออกไปเสมอ ซึ่ง เป๊บ มองว่าไม่เหมาะกับวิสัยทัศน์ในการวางแผนคุมทีมของเขา เนื่องจากเขาต้องการผู้เล่นที่เล่นอย่างว่องไว ทำให้ ชไวนี ต้องนั่งเป็นตัวสำรองในทีมบ่อยครั้ง
จนกระทั่งในวันที่ 23 พฤษภาคม ปี 2015 ฤดูกาล 2014-15 ชไวนี ได้ลงเล่นให้กับ บาเยิร์น มิวนิค ครบ 500 นัด และในเดือนกรกฎาคม 2015 ชไวนี ได้ทำการย้ายไปยังสโมสรใหม่ ปิดตำนาน “พระเจ้าแห่งฟุตบอล (Fußballgott)” ของ ทัพเสือใต้ ไว้ในปีที่ 17 ที่เขาค้าแข้งให้กับสโมสรแห่งนี้มาอย่างยาวนาน โดยเขาสามารถครองแชมป์สำคัญอย่าง บุนเดสลีกา ไว้ได้ 8 สมัย , เดเอฟเบ-โพคาล 7 สมัย และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 1 สมัย

ข้ามน้ำข้ามทะเลไปยังลีกอังกฤษ ด้วยการค้าแข้งกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
ในวันที่ 13 กรกฎาคม ปี 2015 บาสเตียน สไวน์สไตเกอร์ ได้ทำการย้ายมายัง สโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สโมสรที่เขาและพี่ชายชื่นชอบในวัยเด็ก ด้วยค่าตัว 6.5 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 270 ล้านบาท เป็นระยะเวลา 3 ปี ซึ่งในขณะนั้นเขาอายุได้ 31 ปี โดยในขณะนั้น หลุยส์ ฟาน กัล อดีตกุนซือจาก ทัพเสือใต้ ที่เคยสร้างให้เขาประสบความสำเร็จมาแล้วในลีกเยอรมัน กำลังคุมทีมอยู่อีกด้วย ซึ่ง ชไวนี มองว่า เขาน่าจะไปได้ดียังถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด

แต่ทว่าในปีแรกของเขา กับ ทัพปีศาจแดง ก็ไม่เป็นอย่างที่คิด เนื่องจากเขาได้รับบาดเจ็บ และได้ลงแข่งขันน้อยมาก และผลงานโดยรวมของทีมก็ย่ำแย่ จึงทำให้ หลุยส์ ฟาน กัล โดนปลดออกจากตำแหน่ง และเป็น โชเซ่ มูรินโญ่ ที่เข้ามาคุมบังเหียนแทน
ซึ่งการมาของ มูรินโญ่ ทำให้เกิดฝันร้ายกับ ชไวนี เนื่องจากเขาแทบจะไม่ได้ลงทำการแข่งขันเลย ซ้ำร้ายไปกว่านั้น เขายังโดนส่งตัวไปเล่นในทีมสำรองของ ทัพปีศาจแดง และไม่ให้ร่วมซ้อมกับทีมชุดใหญ่อีกด้วย ซึ่งเป็นการบีบให้ ชไวนี ย้ายทีม จนทำให้แฟนบอล ร่วมถึงอดีตสตาฟโค้ช และเพื่อนร่วมทีมจาก ทัพเสือใต้ ไม่พอใจอย่างมาก เพราะ ชไวนี คือ พระเจ้าแห่งฟุตบอล ของพวกเขา แต่ ชไวนี ก็แสดงความเป็นสุภาพชน ด้วยการไม่กล่าวว่าร้ายใดๆเพื่อเป็นการสุมไฟให้กับ มูรินโญ่ เลย เขาเพียงแต่ทำตามคำสั่ง และรอโอกาสที่จะโดนเรียกกลับไปยังทีมชุดใหญ่อีกครั้ง
จนกระทั่งปลายปี 2016 เขาได้กลับมาร่วมซ้อมกับทีมชุดใหญ่อีกครั้ง และได้ลงเป็นตัวจริงอีกครั้งในรอบเกือบ 1 ปี ในศึก เอเอฟ คัพ นัดที่เจอกับ สโมสรวีแกน แอทเลติก (Wigan Athletic) ซึ่งเขาก็สามารถทำสิ่งที่น่าทึ่งให้กับทีมได้ ด้วยการตีลังกายิงเข้าประตูไปได้อย่างสวยงาม นอกจากนี้ เขายังช่วยให้ มารูยาน เฟลไลนี ขึ้นทำประตูได้อีกด้วย ซึ่งแฟนบอลบอล เรดเดวิล ต่างโหวตให้ ชไวนี ได้รับรางวัล Man of the match อีกด้วย

แขวนสตั๊ดที่ ชิคาโก ไฟร์
ชไวนี ได้ย้ายออกจาก ถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ด ไปยัง สโมสรชิคาโก ไฟร์ สโมสรในเมเจอร์ลีก ซอกเกอร์ ลีกสูงสุดในอเมริกา ในเดือนมีนาคม 2017 และได้ลงแข่งขันให้กับ ชิคาโก ไฟร์ เป็นครั้งแรก ในเดือนเมษายน เขาลงเล่นให้กับที่นี่เป็นเวลา 2 ปี โดยลงเล่นไปทั้งหมด 92 นัด และทำประตูไปได้ 8 ประตูด้วยกัน แต่ไม่สามารถพาทีมคว้าแชมป์ใดๆได้สำเร็จ

จนกระทั่งในวันที่ 8 ตุลาคม ปี 2019 บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ ได้ประกาศผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัวของเขาว่า เขาตัดสินใจที่จะอำลาวงการนักฟุตบอลอาชีพอย่างเป็นทางการ ในวัย 35 ปี พร้อมกับขอบคุณไปยังครอบครัว แฟนบอล เพื่อนร่วมทีม ตลอดจนสโมสรทุกสโมสรที่เขาเคยค้าแข้งและฝ่าฟันล่าแชมป์มาด้วยกัน แม้เขาจะปิดตำนานมิดฟิลด์ที่ดีที่สุดในโลกลงไป แต่การเป็น “พระเจ้าแห่งฟุตบอล” ของเขาจะถูกจารึกไว้ในวงการลูกหนังตลอดกาล

บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ กับการเป็นแม่ทัพแห่ง ทัพอินทรีเหล็ก
ชไวนี ลงเล่นให้กับทีมชาติเยอรมัน โดยเริ่มจากทีมเยาวชน รุ่นอายุไม่เกิน 16 ในปี 2000 และเลื่อนขั้นสู่ ในรุ่นอายุไม่เกิน 18 ปี 19 ปี และ 21 ปี ตามลำดับ และได้ลงเล่นในทีมชาติชุดใหญ่ ในปี 2004 และได้รับหน้าที่สวมปลอกแขนทีมชาติเยอรมันยาวนานหลายปี โดยเขาลงเล่นให้กับทีมชาติเยอรมันทั้งหมด 121 นัด ทำประตูไปได้ 24 ประตู และประสบความสำเร็จในระดับทีมชาติอย่างมากมาย ด้วยการคว้าแชมป์ และ รองแชมป์ในรายการต่างๆ ดังนี้
• ชนะเลิศการแข่งขัน ฟุตบอลโลก ในปี 2014
• รองชนะเลิศอันดับที่ 2 การแข่งขัน ฟุตบอลโลก ในปี 2006 และในปี 2010
• รองชนะเลิศการแข่งขัน ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ในปี 2008
• รองชนะเลิศอันดับที่ 2 การแข่งขัน ฟีฟ่า คอนเฟเดอเรชั่นส์ ในปี 2005

AFP PHOTO / ROBERT MICHAEL / AFP PHOTO / ROBERT MLCHAEL AND ROBERT MICHAEL (Photo credit should read ROBERT MLCHAEL,ROBERT MICHAEL/AFP via Getty Images)